นับวัน ผมจะยิ่งสัมผัสได้ถึงการรับรู้ที่ผิดเพี้ยนของชาวต่างชาติต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้
ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มักจะมองสิ่งต่างๆจากมุมมอง ประสบการณ์ และแนวคิดของตัวเองเท่านั้น โดยไม่กระตือรือร้นที่จะเข้าใจในความซับซ้อน และที่มาที่ไปของปัญหาที่เกิดขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะถ้าสถานการณ์นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานที่ห่างไกล
ในการที่จะมองเห็นภาพที่ชัดเจนของสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในกรุงเทพ ช่วง 2-3 วันนี้ ผมคิดว่า ในการรับรู้ของชาวต่างชาติ
มี จิ๊กซอ 2 ชิ้นที่หายไป และนั้นคือต้นเหตุของภาพรวมที่บิดเบี้ยวไปชนิด กลับตาลปัตร
จิ๊กซอตัวแรก คือ พัฒนาการของม็อบที่เจ้าเล่ห์ และร้ายกาจมากขึ้น ซึ่งวันนี้ได้ห่างไกลจากคำว่าประชาชนมือเปล่าไปมากแล้ว เริ่มจากการตั้งสื่อขึ้นมามากมาย ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์เพื่อปลุกระดมชาวบ้าน ด้วยคำโกหกต่างๆนาๆ การใช้ชาวบ้านเป็นโล่ห์มนุษย์ การพยายามยั่วยุให้เจ้าหน้าที่เข้าปราบ เพื่อจะสร้างภาพว่าทหารทำร้ายประชาชน หรือแม้แต่การใช้มือปืนยิงผู้ที่มาชุมนุม เพื่อป้ายสีรัฐบาล มีการใช้อาวุธสงคราม ทั้งปืน และระเบิด ตอบโต้เจ้าหน้าที่ มีการสร้างหลักฐานเท็จต่างๆนาๆ เช่นการตัดต่อเสียงของ นายกฯ ให้เป็นคำสั่งฆ่าประชาชน ซึ่งคลิปเสียงนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นการตัดต่อ
ยิ่งไปกว่านั้น ต้องเข้าใจว่า กลุ่มมวลชนเสื้อแดง
เป็นเพียงฉากหน้าของเครือข่ายใหญ่ที่ประกอบไปด้วย พรรคการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย กลุ่มธุรกิจต่างๆที่เสียผลประโยชน์ และ กองกำลังติดอาวุธ ทั้งหมดมีการทำงานสอดประสานกันไปในทิศทางเดียวกัน ศักยภาพของเครือข่ายนี้สูงมาก ถึงขั้นที่สามารถล็อบบี้สื่อต่างชาติให้เขียนข่าวเข้าข้างตนเอง ล็อบบี้ให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนออกแถลงการณ์ประณามประเทศไทย รวมถึงการมีสายลับแทรกซึมอยู่ในกองทัพ ตำรวจ และหน่วยราชการต่างๆ
จิ๊กซอตัวที่สอง คือ จุดยืนของทหารที่เปลี่ยนไปจากในอดีต กองทัพไทยในปัจจุบันมีจิตสำนึกที่เป็นประชาธิปไตย และมีความอดทนสูงมาก ดังเห็นได้จาก การที่ได้รับการยอมรับจากชนชั้นกลางในประเทศไทย การปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 (ค.ศ. 2006) ประชาชนต่างพากันนำดอกไม้ไปมอบให้ทหาร ปฏิบัติการครั้งนั้นสำเร็จได้โดยไม่มีการต่อต้านจากคนเมืองเลย คณะปฏิวัติอยู่ในอำนาจเพียง 1 ปี เพื่อจัดระเบียบสิ่งต่างๆ แล้วก็ถอยออกมา โดยไม่มีการสืบทอดอำนาจใดๆ ผู้นำการปฏิวัติขณะนั้นคือ พล.อ.สนธิ บุณรัตกลิน ตอนนี้เขาแทบจะไม่มีบทบาททางการเมืองอะไรเลย ผู้นำกองทัพคนใหม่ที่ขึ้นมาแทนที่เขา พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ก็กำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ มีข่าวลือว่าเขาต้องการเกษียณอย่างสงบ จึงดูไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะปฏิบัติหน้าที่ในการรักษากฏหมาย
สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 วันนี้ (ตั้งแต่พฤหัสที่ 14 พ.ค. 53) เป็นตัวอย่างที่ดี ที่จะได้เห็นถึงความอดทนอดกลั้นของรัฐบาล และ ความเจ้าเล่ห์ของฝ่ายเสื้อแดง หลังจากที่ทางฝ่ายเสื้อแดงได้ปฏิเสธแผนการปรองดองของนายกฯอภิสิทธิ์ รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการรักษากฏหมาย (ถ้ายังไม่ทำอีก ประชาชนอีกฝ่ายจะออกมาทำเองแล้ว) แต่แทนที่จะเลือกการเข้าไปสลายการชุมนุมทันที รัฐกลับเลือกที่จะใช้วิธีปิดล้อมสถานที่ชุมนุม เพื่อกันไม่ให้มีคนเข้าไปชุมนุมเพิ่มเติม และตัดเสบียงอาหาร เพื่อให้จำนวนผู้ชุมนุมลดลงเหลือน้อยที่สุด ทั้งนี้ด้วยหวังว่าจะสามารถลดการสูญเสียได้มากที่สุด
นี่คือความอดทนอดกลั้นของรัฐบาลและทหาร แต่ทางฝ่ายเสื้อแดงกลับส่งกองกำลังติดอาวุธออกมาโจมตีทหารที่ตั้งด่านอยู่ด้วยอาวุธสงคราม ทำให้ฝ่ายทหารจำเป็นที่จะต้องยิงตอบโต้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แกนนำผู้ชุมนุมจึงถือโอกาสนี้ออกมาเรียกร้องให้ทหารหยุดยิง และล็อบบี้องค์กรสิทธิ์มนุษยชนบางแห่งให้ประณามรัฐบาลไทย รวมถึงเรียกร้องให้ UN เข้าแทรกแทรง
นี่คือความเจ้าเล่ห์ของฝ่ายเสื้อแดงจิ๊กซอทั้งสองตัวนี้ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยทำให้เข้าใจถึงสงครากลางเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในกรุงเทพฯขณะนี้ แต่ถ้าจะถามว่า เหตุการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ต้องใช้ จิกซอตัวที่สาม นั่นคือต้องกลับไปดูตั้งแต่สมัยที่ทักษิณยังมีอำนาจอยู่ ว่าเขาได้ทำอะไรกับประเทศนี้ไว้บ้าง ซึ่งไว้ผมจะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป
เมื่อก่อน ศัตรูของเผด็จการคือ ม็อบ สื่อ องค์กรสิทธิมนุษยชน และ ประชาธิปไตย แต่ในยุคสมัยนี้ เผด็จการได้เรียนรู้ที่จะใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นเครื่องมือในการสนองประโยชน์ของตนเอง ปัญหาคือคนจำนวนมากยังตามวิวัฒนาการอันเลวร้ายนี้ไม่ทัน