ขณะนี้สังคมกำลังถูกท้าท้ายด้วยโจทย์ใหญ่ข้อหนึ่ง “ระหว่าง ชิวิตคน กับ การรักษากฏหมาย จะเลือกอะไร”
บางคน บางกลุ่มก็ขอให้เอาชีวิตคนเป็นที่ตั้ง โดยย้ำว่า “อะไรก็แลกไม่ได้” ผมเลยลองตั้งคำถามกับตัวเองดู เอ ชีวิตคนแลกกับอะไรได้บ้างนะ ผมก็นึกออกได้สองสามอย่าง
- อธิปไตยของชาติ ในสงคราม ทหารมากมาย ไม่ใช่เพียงคนสองคน ต้องสละชีพ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ โชคดีที่ในกรณีนี้ไม่มีคนตั้งประเด็นว่า ให้รักษาชิวิตคนไว้ก่อน นั่นคือไม่ต้องรบ เจรจาอย่างเดียว อาจยอมให้ต่างชาติเข้ามายึดประเทศซะ แต่มีข้อแม้ว่าต้องปฏิบัติกับคนไทยอย่างเท่าเทียมกับคนในประเทศของเขา ถ้าเป็นเช่นนี้จะมีคนยอมรับได้หรือเปล่าครับ?
- สวัสดิภาพของบุคคลทั่วไป ถ้ามีคนร้ายกำลังจะเหนี่ยวไกใส่คนบริสุทธิ์อีกคนหนึ่ง ตำรวจก็คงต้องยิงใส่คนร้าย เพื่อปกป้องชีวิตคนบริสุทธ์
- กฎหมาย จากตัวอย่างที่แล้ว ถ้าในเหตุการณ์เฉพาะหน้า คนที่ถือปืน แจ้งกับตำรวจว่า คนที่เขากำลังจะยิงเป็นคนเลว ชั่วช้ามาก สมควรตายแล้ว ตำรวจก็ยังคงต้องยิงคนถือปืนอยู่ดีใช่มั๊ยครับ เพราะเราไม่สามารถตัดสินว่าใครถูกใครผิด จนกว่าจะผ่านกระบวนการยุติธรรม
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังมีการถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นสงครามกลางเมือง เป็นกบฏ การก่อการร้าย หรือการก่อจลาจล แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยน่าจะกล่าวได้ว่าเป็นการก่อความไม่สงบ โดยมีการใช้อาวุธที่หลากหลาย ตั้งแต่ไม้ไผ่ ไปจนถึงอาวุธสงคราม เช่น ระเบิด M79 และ จรวด RPG
คำถามคือ ถ้าเราเห็นแก่ชีวิตคน แล้ว ยอมจำนนต่อการทำผิดกฏหมาย ด้วยความรุนแรง และด้วยอาวุธสงคราม อะไรจะเกิดขึ้น แปลว่าวิธีการที่ใช้ มวลชน + อาวุธสงคราม “ได้ผล” ใช่หรือไม่?
ต่อไปนี้ถ้าใครอยากได้อะไร แล้วไม่ได้อย่างใจ ก็สามารถใช้วิธีนี้กันได้หมด ผมคิดว่าถ้าเช่นนั้น นิติรัฐจะพังทลาย และเมื่อนิติรัฐพังทลาย บ้านเมืองก็จะวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ซึ่งนั่นหมายถึงชีวิตคนบริสุทธ์อีกมากที่จะต้องเสียไป ใช่แล้วครับ สุดท้ายก็ลงที่ชีวิตคนอยู่ดี และในจำนวนที่มากกว่าด้วย
ดังนั้นถ้าถามผมว่า ชีวิตคนแลกกับอะไรได้บ้าง ผมตอบว่า แลกกับ นิติรัฐ แลกกับ ชีวิตคนในจำนวนที่มากกว่า ครับ
วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
"ถ้าไม่รักพ่อ ก็ออกไปจากที่นี่ซะ" โดย พงพัฒน์ วชิรบรรจง
พ่อเป็นเสา หลักของบ้าน
บ้านของผมหลังใหญ่นะฮะ ใหญ่มาก
เราอยู่กันหลายคน ผมเกิดมาบ้านหลังนี้ก็สวยงามมากแล้ว
สวยงามและอบอุ่น
แต่กว่าจะเป็นแบบนี้ได้นะครับ
บรรพบุรุษของ พ่อ
เสียเหงื่อ เสียเลือด
เอาชีวิตเข้าแลก
กว่าจะได้บ้านหลังนี้ ขึ้นมา
จนมาถึงวันนี้
พ่อ คนนี้ก็ยังเหนื่อยที่จะดูแลบ้าน
และก็ดูแลความสุขของทุกๆ คนในบ้าน
ถ้ามีใครสักคน โกรธใครมาก็ไม่รู้
ไม่ได้ดั่ง ใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้
แล้วก็พาลมาลงที่พ่อ
เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน
ผมจะ เดินไปบอกคนๆ นั้นว่า
ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว
จงออกไปจาก ที่นี่ซะ
เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ
เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ
ผมรักในหลวงครับ
และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ใน ที่นี้
รักในหลวงเหมือนกัน
พวก เราสีเดียวกันครับ
ศีรษะนี้มอบให้พระ เจ้าแผ่นดิน
พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
งานประกาศผลรางวัลนาฏราช
ถ่าย ทอดทางไทยทีวีสีช่อง 3
วันที่ 16 พฤษภาคม 2553
Father is a main pillar of the house
I have got a big house
very big... we have many family members
It is a beautiful house, I love it
beautiful and warm...
but before it became to this beautiful house
many of my ancestors
had sacrificed their lives, their strength,
fought with everything to build this beautiful house
Just to have a place to live
Until now
the father still stay to watch over this beautiful house
and taking care of every memebrs in the house
If you don't love the father no more
please leave the house !!
because this is his place..,
His and Our living place..!!
I love my king and I believe
all of you in here also do
we're all the same color
This life of mine, I give to my king!!
Kob khun krub (Thank you very much)
วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
การมองอย่างฉาบฉวยของต่างชาติ ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
นับวัน ผมจะยิ่งสัมผัสได้ถึงการรับรู้ที่ผิดเพี้ยนของชาวต่างชาติต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้
ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มักจะมองสิ่งต่างๆจากมุมมอง ประสบการณ์ และแนวคิดของตัวเองเท่านั้น โดยไม่กระตือรือร้นที่จะเข้าใจในความซับซ้อน และที่มาที่ไปของปัญหาที่เกิดขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะถ้าสถานการณ์นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานที่ห่างไกล
ในการที่จะมองเห็นภาพที่ชัดเจนของสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในกรุงเทพ ช่วง 2-3 วันนี้ ผมคิดว่า ในการรับรู้ของชาวต่างชาติ มี จิ๊กซอ 2 ชิ้นที่หายไป และนั้นคือต้นเหตุของภาพรวมที่บิดเบี้ยวไปชนิด กลับตาลปัตร
จิ๊กซอตัวแรก คือ พัฒนาการของม็อบที่เจ้าเล่ห์ และร้ายกาจมากขึ้น ซึ่งวันนี้ได้ห่างไกลจากคำว่าประชาชนมือเปล่าไปมากแล้ว เริ่มจากการตั้งสื่อขึ้นมามากมาย ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์เพื่อปลุกระดมชาวบ้าน ด้วยคำโกหกต่างๆนาๆ การใช้ชาวบ้านเป็นโล่ห์มนุษย์ การพยายามยั่วยุให้เจ้าหน้าที่เข้าปราบ เพื่อจะสร้างภาพว่าทหารทำร้ายประชาชน หรือแม้แต่การใช้มือปืนยิงผู้ที่มาชุมนุม เพื่อป้ายสีรัฐบาล มีการใช้อาวุธสงคราม ทั้งปืน และระเบิด ตอบโต้เจ้าหน้าที่ มีการสร้างหลักฐานเท็จต่างๆนาๆ เช่นการตัดต่อเสียงของ นายกฯ ให้เป็นคำสั่งฆ่าประชาชน ซึ่งคลิปเสียงนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นการตัดต่อ
ยิ่งไปกว่านั้น ต้องเข้าใจว่า กลุ่มมวลชนเสื้อแดง เป็นเพียงฉากหน้าของเครือข่ายใหญ่ที่ประกอบไปด้วย พรรคการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย กลุ่มธุรกิจต่างๆที่เสียผลประโยชน์ และ กองกำลังติดอาวุธ ทั้งหมดมีการทำงานสอดประสานกันไปในทิศทางเดียวกัน ศักยภาพของเครือข่ายนี้สูงมาก ถึงขั้นที่สามารถล็อบบี้สื่อต่างชาติให้เขียนข่าวเข้าข้างตนเอง ล็อบบี้ให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนออกแถลงการณ์ประณามประเทศไทย รวมถึงการมีสายลับแทรกซึมอยู่ในกองทัพ ตำรวจ และหน่วยราชการต่างๆ
จิ๊กซอตัวที่สอง คือ จุดยืนของทหารที่เปลี่ยนไปจากในอดีต กองทัพไทยในปัจจุบันมีจิตสำนึกที่เป็นประชาธิปไตย และมีความอดทนสูงมาก ดังเห็นได้จาก การที่ได้รับการยอมรับจากชนชั้นกลางในประเทศไทย การปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 (ค.ศ. 2006) ประชาชนต่างพากันนำดอกไม้ไปมอบให้ทหาร ปฏิบัติการครั้งนั้นสำเร็จได้โดยไม่มีการต่อต้านจากคนเมืองเลย คณะปฏิวัติอยู่ในอำนาจเพียง 1 ปี เพื่อจัดระเบียบสิ่งต่างๆ แล้วก็ถอยออกมา โดยไม่มีการสืบทอดอำนาจใดๆ ผู้นำการปฏิวัติขณะนั้นคือ พล.อ.สนธิ บุณรัตกลิน ตอนนี้เขาแทบจะไม่มีบทบาททางการเมืองอะไรเลย ผู้นำกองทัพคนใหม่ที่ขึ้นมาแทนที่เขา พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ก็กำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ มีข่าวลือว่าเขาต้องการเกษียณอย่างสงบ จึงดูไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะปฏิบัติหน้าที่ในการรักษากฏหมาย
สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 วันนี้ (ตั้งแต่พฤหัสที่ 14 พ.ค. 53) เป็นตัวอย่างที่ดี ที่จะได้เห็นถึงความอดทนอดกลั้นของรัฐบาล และ ความเจ้าเล่ห์ของฝ่ายเสื้อแดง หลังจากที่ทางฝ่ายเสื้อแดงได้ปฏิเสธแผนการปรองดองของนายกฯอภิสิทธิ์ รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการรักษากฏหมาย (ถ้ายังไม่ทำอีก ประชาชนอีกฝ่ายจะออกมาทำเองแล้ว) แต่แทนที่จะเลือกการเข้าไปสลายการชุมนุมทันที รัฐกลับเลือกที่จะใช้วิธีปิดล้อมสถานที่ชุมนุม เพื่อกันไม่ให้มีคนเข้าไปชุมนุมเพิ่มเติม และตัดเสบียงอาหาร เพื่อให้จำนวนผู้ชุมนุมลดลงเหลือน้อยที่สุด ทั้งนี้ด้วยหวังว่าจะสามารถลดการสูญเสียได้มากที่สุด นี่คือความอดทนอดกลั้นของรัฐบาลและทหาร แต่ทางฝ่ายเสื้อแดงกลับส่งกองกำลังติดอาวุธออกมาโจมตีทหารที่ตั้งด่านอยู่ด้วยอาวุธสงคราม ทำให้ฝ่ายทหารจำเป็นที่จะต้องยิงตอบโต้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แกนนำผู้ชุมนุมจึงถือโอกาสนี้ออกมาเรียกร้องให้ทหารหยุดยิง และล็อบบี้องค์กรสิทธิ์มนุษยชนบางแห่งให้ประณามรัฐบาลไทย รวมถึงเรียกร้องให้ UN เข้าแทรกแทรง นี่คือความเจ้าเล่ห์ของฝ่ายเสื้อแดง
จิ๊กซอทั้งสองตัวนี้ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยทำให้เข้าใจถึงสงครากลางเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในกรุงเทพฯขณะนี้ แต่ถ้าจะถามว่า เหตุการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ต้องใช้ จิกซอตัวที่สาม นั่นคือต้องกลับไปดูตั้งแต่สมัยที่ทักษิณยังมีอำนาจอยู่ ว่าเขาได้ทำอะไรกับประเทศนี้ไว้บ้าง ซึ่งไว้ผมจะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป
เมื่อก่อน ศัตรูของเผด็จการคือ ม็อบ สื่อ องค์กรสิทธิมนุษยชน และ ประชาธิปไตย แต่ในยุคสมัยนี้ เผด็จการได้เรียนรู้ที่จะใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นเครื่องมือในการสนองประโยชน์ของตนเอง ปัญหาคือคนจำนวนมากยังตามวิวัฒนาการอันเลวร้ายนี้ไม่ทัน
ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มักจะมองสิ่งต่างๆจากมุมมอง ประสบการณ์ และแนวคิดของตัวเองเท่านั้น โดยไม่กระตือรือร้นที่จะเข้าใจในความซับซ้อน และที่มาที่ไปของปัญหาที่เกิดขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะถ้าสถานการณ์นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานที่ห่างไกล
ในการที่จะมองเห็นภาพที่ชัดเจนของสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในกรุงเทพ ช่วง 2-3 วันนี้ ผมคิดว่า ในการรับรู้ของชาวต่างชาติ มี จิ๊กซอ 2 ชิ้นที่หายไป และนั้นคือต้นเหตุของภาพรวมที่บิดเบี้ยวไปชนิด กลับตาลปัตร
จิ๊กซอตัวแรก คือ พัฒนาการของม็อบที่เจ้าเล่ห์ และร้ายกาจมากขึ้น ซึ่งวันนี้ได้ห่างไกลจากคำว่าประชาชนมือเปล่าไปมากแล้ว เริ่มจากการตั้งสื่อขึ้นมามากมาย ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์เพื่อปลุกระดมชาวบ้าน ด้วยคำโกหกต่างๆนาๆ การใช้ชาวบ้านเป็นโล่ห์มนุษย์ การพยายามยั่วยุให้เจ้าหน้าที่เข้าปราบ เพื่อจะสร้างภาพว่าทหารทำร้ายประชาชน หรือแม้แต่การใช้มือปืนยิงผู้ที่มาชุมนุม เพื่อป้ายสีรัฐบาล มีการใช้อาวุธสงคราม ทั้งปืน และระเบิด ตอบโต้เจ้าหน้าที่ มีการสร้างหลักฐานเท็จต่างๆนาๆ เช่นการตัดต่อเสียงของ นายกฯ ให้เป็นคำสั่งฆ่าประชาชน ซึ่งคลิปเสียงนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นการตัดต่อ
ยิ่งไปกว่านั้น ต้องเข้าใจว่า กลุ่มมวลชนเสื้อแดง เป็นเพียงฉากหน้าของเครือข่ายใหญ่ที่ประกอบไปด้วย พรรคการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย กลุ่มธุรกิจต่างๆที่เสียผลประโยชน์ และ กองกำลังติดอาวุธ ทั้งหมดมีการทำงานสอดประสานกันไปในทิศทางเดียวกัน ศักยภาพของเครือข่ายนี้สูงมาก ถึงขั้นที่สามารถล็อบบี้สื่อต่างชาติให้เขียนข่าวเข้าข้างตนเอง ล็อบบี้ให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนออกแถลงการณ์ประณามประเทศไทย รวมถึงการมีสายลับแทรกซึมอยู่ในกองทัพ ตำรวจ และหน่วยราชการต่างๆ
จิ๊กซอตัวที่สอง คือ จุดยืนของทหารที่เปลี่ยนไปจากในอดีต กองทัพไทยในปัจจุบันมีจิตสำนึกที่เป็นประชาธิปไตย และมีความอดทนสูงมาก ดังเห็นได้จาก การที่ได้รับการยอมรับจากชนชั้นกลางในประเทศไทย การปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 (ค.ศ. 2006) ประชาชนต่างพากันนำดอกไม้ไปมอบให้ทหาร ปฏิบัติการครั้งนั้นสำเร็จได้โดยไม่มีการต่อต้านจากคนเมืองเลย คณะปฏิวัติอยู่ในอำนาจเพียง 1 ปี เพื่อจัดระเบียบสิ่งต่างๆ แล้วก็ถอยออกมา โดยไม่มีการสืบทอดอำนาจใดๆ ผู้นำการปฏิวัติขณะนั้นคือ พล.อ.สนธิ บุณรัตกลิน ตอนนี้เขาแทบจะไม่มีบทบาททางการเมืองอะไรเลย ผู้นำกองทัพคนใหม่ที่ขึ้นมาแทนที่เขา พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ก็กำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ มีข่าวลือว่าเขาต้องการเกษียณอย่างสงบ จึงดูไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะปฏิบัติหน้าที่ในการรักษากฏหมาย
สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 วันนี้ (ตั้งแต่พฤหัสที่ 14 พ.ค. 53) เป็นตัวอย่างที่ดี ที่จะได้เห็นถึงความอดทนอดกลั้นของรัฐบาล และ ความเจ้าเล่ห์ของฝ่ายเสื้อแดง หลังจากที่ทางฝ่ายเสื้อแดงได้ปฏิเสธแผนการปรองดองของนายกฯอภิสิทธิ์ รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการรักษากฏหมาย (ถ้ายังไม่ทำอีก ประชาชนอีกฝ่ายจะออกมาทำเองแล้ว) แต่แทนที่จะเลือกการเข้าไปสลายการชุมนุมทันที รัฐกลับเลือกที่จะใช้วิธีปิดล้อมสถานที่ชุมนุม เพื่อกันไม่ให้มีคนเข้าไปชุมนุมเพิ่มเติม และตัดเสบียงอาหาร เพื่อให้จำนวนผู้ชุมนุมลดลงเหลือน้อยที่สุด ทั้งนี้ด้วยหวังว่าจะสามารถลดการสูญเสียได้มากที่สุด นี่คือความอดทนอดกลั้นของรัฐบาลและทหาร แต่ทางฝ่ายเสื้อแดงกลับส่งกองกำลังติดอาวุธออกมาโจมตีทหารที่ตั้งด่านอยู่ด้วยอาวุธสงคราม ทำให้ฝ่ายทหารจำเป็นที่จะต้องยิงตอบโต้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แกนนำผู้ชุมนุมจึงถือโอกาสนี้ออกมาเรียกร้องให้ทหารหยุดยิง และล็อบบี้องค์กรสิทธิ์มนุษยชนบางแห่งให้ประณามรัฐบาลไทย รวมถึงเรียกร้องให้ UN เข้าแทรกแทรง นี่คือความเจ้าเล่ห์ของฝ่ายเสื้อแดง
จิ๊กซอทั้งสองตัวนี้ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยทำให้เข้าใจถึงสงครากลางเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในกรุงเทพฯขณะนี้ แต่ถ้าจะถามว่า เหตุการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ต้องใช้ จิกซอตัวที่สาม นั่นคือต้องกลับไปดูตั้งแต่สมัยที่ทักษิณยังมีอำนาจอยู่ ว่าเขาได้ทำอะไรกับประเทศนี้ไว้บ้าง ซึ่งไว้ผมจะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป
เมื่อก่อน ศัตรูของเผด็จการคือ ม็อบ สื่อ องค์กรสิทธิมนุษยชน และ ประชาธิปไตย แต่ในยุคสมัยนี้ เผด็จการได้เรียนรู้ที่จะใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นเครื่องมือในการสนองประโยชน์ของตนเอง ปัญหาคือคนจำนวนมากยังตามวิวัฒนาการอันเลวร้ายนี้ไม่ทัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)